วัดไร่ขิง วันนี้จะพาสายมูเตลูไปเที่ยวชม อีกหนึ่งวัดสำคัญในจังหวัดนครปฐม ที่มีประวัติเก่าแก่มายาวนาน
วัดไร่ขิง เป็นวัดสำคัญตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำท่าจีน (เรียกอีกชื่อว่าแม่น้ำนครชัยศรี) ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พระอารามหลวงของจังหวัดนครปฐม สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย สร้างโดย “สมเด็จพระพุทธฒาจารย์” มีหลวงพ่อวัดไร่ขิงซึ่งเป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระประธาน ที่ชาวนครปฐมเคารพนับถือ
เดิมเป็นวัดราษฏร์ ต่อมาจึงยกฐานะขึ้นเป็น พระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 10กรกฎาคม พ.ศ.2533 วัดไร่ขิงเป็นวัดที่มีประวัติเก่าแก่มายาวนาน และมีพระพุทธรูปประจำวัดที่รู้จักกันในชื่อ หลวงพ่อวัดไร่ขิง ในอดีตเป็นพื้นที่ของชาวจีน มาอาศัยอยู่และนิยมปลูกขิงเพื่อค้าขาย
จนกลายเป็นชื่อตำบลไร่ขิง กราบนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงพระพุทธรูปปางมารวิชัย และวัดไร่ขิงในปัจจุบันส่วนชื่อ วัดมงคลจินดาราม เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แต่ชาวบ้านส่วนมากก็ยัง นิยมเรียกชื่อเดิม ดูซีรี่ย์
มาดูถึงประวัติของ วัดไร่ขิง ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง? ก่อนมาเป็นวัดสำคัญของชาวนครปฐม
คนรุ่นเก่าได้เล่าสืบต่อกันมาว่า วัดไร่ขิงสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2394 พระอารามหลวงของจังหวัดนครปฐม โดยพระธรรมราชานุวัตร (พุก) ชาวเมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี (ต่อมาท่านได้รับสถาปนาสมศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ ) ในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร
ท่านได้กลับมาสร้างวัดไร่ขิง และวัดดอนหวายซึ่งเป็นบ้านโยมบิดา และมารดาของท่านแต่ยังไม่แล้วเสร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ มรณภาพเมื่อปี วอก พ.ศ.2427 รวมสิริอายุ 91 ปี พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 9เมษายน ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 10ค่ำ เดือน 5 ปีระกา พ.ศ.2428
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุพิเศษวัดศาลาปูน ดังนั้นงานทุกอย่างจึงตกเป็นภาระของ พระธรรมราชานุวัตร (อาจ จนฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่ 6
ซึ่งเป็นหลานชายของท่าน” แต่ไม่ทราบว่าท่านกลับมาปฏิสังขรณ์ วัดเมื่อใดหรือท่านอาจจะมาในปีพ.ศ.2453 ตอนที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมราชานุวัตร ก็อาจเป็นไปได้ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 75ปี และเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนรูปที่6 ต่อจากสมเด็จพุฒาจารย์
อย่างไรก็ตามในการปฏิสังขรณ์ วัดไร่ขิงในสมัยท่านอยู่ประมาณปีพ.ศ.2427 หรือ 2453 เป็นต้นมา สำหรับชื่อวัดนั้นมีเรื่องเล่าว่า พื้นที่วัดในอดีตมีชาวจีนปลูกบ้านอาศัย อยู่กันเป็นจำนวนมาก และชาวจีนที่มาปลูกบ้านอาศัย ในบริเวณดังกล่าวก็นิยมปลูกขิง กันอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน
หรือชุมชนในแถบนี้ว่า “ไร่ขิง” นั่นเองต่อมาเมื่อมีชุมชน หนาแน่นมากยิ่งขึ้นจึงได้มีการสร้างวัด เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ดังนั้นวัดจึงได้ชื่อตามชื่อของหมู่บ้านหรือชุมชนว่า “วัดไร่ขิง” ในราวปีพ.ศ.2446 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
เสด็จตรวจเยี่ยมวัดในเขต อำเภอสามพราน สมเด็จฯได้เสด็จมาที่วัดไร่ขิง และทรงตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดมงคลจินดาราม” ทั้งทรงใส่วงเล็บชื่อเดิมต่อท้าย จึงกลายเป็น “วัดมงคลจินดาราม (ไร่ขิง)” เมื่อเวลาผ่านพ้นมานาน และคงเป็นเพราะความกร่อนของภาษาจีน ทำให้วงเล็บหายไป
คงเหลือเพียงคำว่า “ไร่ขิง” กราบนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงพระพุทธรูปปางมารวิชัย ต่อท้ายคำว่า “มงคลจินดาราม” จึงต้องเขียนว่า “วัดมงคลจินดาราม-ไร่ขิง” แต่ในทางราชการยังคงใช้ชื่อเดิมเพียงว่า “วัดไร่ขิง” สืบมาจนทุกวันนี้ สถานทีดังที่สายมูไม่ควรพลาด
เที่ยวชมที่วัดไร่ขิง กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด หลวงพ่อวัดไร่ขิง
องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย กราบนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4ศอก 2นิ้วเศษ สูง 4ศอก 16นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5ชั้น เบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมา องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็น พระประธานอยู่ภายในอุโบสถ
หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรี หรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน จากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิง ได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน โดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการ ทำแพไม้ไผ่หรือที่เรียกกันว่า แพลูกบวบรองรับองค์พระปฏิมากรณ์
เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญ ขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถ ตรงกับวันขึ้น 15ค่ำ เดือน5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดี จึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพ สู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดด ที่แผดจ้ากลับพลันหายไป ความร้อนระอุในวันสงกรานต์
ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนอง และบันดาลให้มีฝนโปรยลงมา ทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติ ยินดีกันโดยทั่วหน้า ประชาชนที่มาต่างก็พากัน ตั้งจิตรอธิษฐานเป็นหนึ่งเดียวกันว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิด ความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น”
ดังนั้นวันดังกล่าวที่ตรงกับ วันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย พระอารามหลวงของจังหวัดนครปฐม ทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญ และได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการ ปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำ บอกเล่าสืบต่อกันมาหรือที่เรียกว่า “มุขปาฐะ”
ตำนานของหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีหลายตำนานดังนี้
ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาส พร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระอารามหลวงของจังหวัดนครปฐม โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่ และนำล่องมาตามลำน้ำ และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15ค่ำ เดือน5 วันสงกรานต์พอดี
ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่3 ต้นปีในรัชกาลที่4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้น ดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ “พระธรรมราชานุวัตร” ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้ว จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ แต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์
ท่านได้มรณภาพเสียก่อน กราบนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่าน จึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอด จนถึงแก่มรณภาพ
วัดไร่ขิงและตำนานที่ 3 ที่เล่าสืบต่อกันมา
ตามตำนานเป็นเรื่องราว กราบนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมี พระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า ” ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน ” ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จ เป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้ พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิษฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมี ช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลก ให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึง พระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์
ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ พระอารามหลวงของจังหวัดนครปฐม จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคน ทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ ริมแม่น้ำเห็นเข้าจึงได้อัญเชิญ และประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้
- พระพุทธรูปองค์ที่1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า “หลวงพ่อโสธร”
- พระพุทธรูปองค์ที่2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน) ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิง เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดไร่ขิง”
- พระพุทธรูปองค์ที่3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดบางพลี” แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า “หลวงพ่อโตวัดบางพลี ”
- พระพุทธรูปองค์ที่4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม”
- พระพุทธรูปองค์ที่5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา”